วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

Questionnaire2

LinkFinal2

Finaldetail2

ประวัติ บริษัท ขนส่ง จำกัด

            การขนส่งโดยรถยนต์และรถโดยสารในประเทศไทย เริ่มครั้งแรกหลังจากเปิดการเดินรถไฟสายแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ราว 2-3 ปี เมื่อรถยนต์จากยุโรปคันแรกได้นำเข้ามายังประเทศไทย รถยนต์คันนี้เป็นของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เข้าใจว่าคงจะมีฝรั่งนำเข้ามาจากยุโรปแล้วเอามาขายต่อ ลักษณะของรถยนต์นี้นัยว่า ใช้น้ำมันปิโตเลียมต้องจุดไฟลักษณะคล้ายเตาฟู่ รูปร่างคล้ายรถบดถนน มีที่นั่งสองแถวมีหลังคาเป็นประระล้อยางต้น ซึ่งทั้งนี้ทำให้สงสัยว่าจะเป็นรถที่ใช้เครื่องสตีมหรือไอน้ำมากกว่า และในที่สุดก็ใช้การอะไรจริงจังไม่ได้ ต้องทิ้งให้เหลือแต่ซากและสูญสิ้นไป ต่อมากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เป็นผู้นำรถยนต์จากยุโรปเข้ามาเป็นคันแรก แล้วได้ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นรถพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้มีพระบรมราชโองการให้สั่งซื้อรถยนต์แบบใหม่ ๆ ของสมัยนั้นเข้ามาอีกหลายสิบคัน เพื่อพระราชทานแจกจ่ายแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาในปี พ.ศ.2451 ได้มีรถโดยสารประจำทางขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นของพระยาภักดีนรเศรษฐ ผู้ให้กำเนิดรถเมล์ขาวเดินรับส่งผู้โดยสารจากประตูน้ำ สระปทุม กับบางลำภู นับได้ว่าเป็นการเริ่มทำการขนส่งด้วยรถโดยสารขึ้น ทำให้เกิดปัญหาทางด้านการจราจร เพราะแต่เดิมถนนมีขนาดเล็กเหมาะสำหรับรถลากจูงและ เทียมม้ากับรถส่วนบุคคลพอมีรถโดยสาร ทำให้ถนนที่มีขนาดความกว้างไม่สัมพันธ์กับตัวรถโดยสาร จึงทำให้ถนนแคบลงและเกิดอุบัติเหตุอยู่เนือง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงตราพระราชบัญญัตรถยนต์เป็นฉบับแรกขึ้นเมื่อ ร.ศ.128 ขึ้นตรงกับ พ.ศ.2453 พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้วางระเบียบการเดินรถและขับรถขึ้นไว้ และใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ร.ศ.129 หรือ พ.ศ.2454 เป็นต้นมา


กิจการด้านการเดินรถในระยะเริ่มแรก ได้เปิดกิจการควบคู่กับการบินพาณิชย์ โดยเปิดการเดินรถจากหัวลำโพงไปยังดอนเมือง รังสิต และท่าช้างวังหลวงไปยังสนามบินน้ำ จ.นนทบุรีผลจากการดำเนินการได้ผลเป็นที่น่าพอใจ อาจจะเป็นกิจการใหม่ประชาชนหันมานิยมใช้บริการกันมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2479 จนถึง 2482 ประเทศไทยได้เข้าฝรั่งเศส ประเทศไทยได้เข้าสู่สภาวะสงครามอินโดจีน ผู้ซึ่งเป็นชนชาติอังกฤษ เช่นเช่น นายอาร์บี แจ็คสัน และผู้ก่อตั้งสัญชาติอังกฤษ ต้องเดินทางออกนอกประเทศ เป็นผลให้ในปี พ.ศ.2482ได้มีการเปลี่ยนชื่อจากบริษัทเดินอากาศ จำกัด เป็นบริษัท ขนส่ง จำกัด


เมื่อเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ขนส่ง จำกัด แล้วก็ยังใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดิม คือ Aerial Transport of Siam Company Limited เปลี่ยนผู้จัดการเป็นพระยาเชาวนานุสถิติ (เชาว์ อินทุเกตุ) จากปี พ.ศ. 2482-2484 สงครามโลกครั้งที่ 2ได้เริ่มขึ้นจากประเทศยุโรปและลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลกในทวีปอาเซีย ญี่ปุ่นยกกำลังเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ทั่วทวีปอาเซีย รวมทั้งได้ยกพลขึ้นบกเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ภาวะสงครามได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อกิจการของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการบิน

ต่อมาในวันที่ 3 ก.พ.2496 บริษัทฯ ได้กู้เงินจากธนาคารออมสินเพิ่มอีก 15 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อขยายกิจการเดินรถประจำทาง และได้นำเงิน 12 ล้านบาท ไปซื้อรถโดยสารสำเร็จรูปจากต่างประเทศ 2 ชนิดคือ อีซูซุ 30 คัน เซ้ดดอน 50 คัน รถใช้สอย คันรวม 86 คัน เงินที่เหลืออีก 3 ล้านบาท ได้จัดซื้ออุปกรณ์การซ่อมเครื่องอะไหล่สร้าง โรงเก็บรถสร้างที่อยู่ เจ้าหน้าที่ จัดหาที่ดินบูรณะอาคารที่จำเป็นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น



การเดินรถก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีการจัดซื้อรถมาทดแทน คงใช้รถเก่าเดินตามเส้นทางต่าง ๆ รวม 7 เส้นทาง ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูงสุด และรถบางคันไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะนำออกบริการประชาชน ซึ่งต้องปลดระวาง ทำให้รถมีจำนวนน้อยลงไม่เพียงพอบริการ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ช่วงปี 2490 จนถึงปี 2501 บริษัทฯ ประสบกับการขาดทุน และไม่สามารถหาเงินมาชำระ ให้แก่ธนาคารออมสินได้ทำให้เงินต้นและดอกเบี้ยรวมกันสูงถึง 40 ล้านบาทเป็นผลให้รัฐบาลชุด คณะปฏิวัติที่เข้ามาบริหารประเทศในปี 2501ทำการปรับปรุงกิจการใหม่ โดยเปลี่ยนกรรมการบริษัทฯ

ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารทั้งต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ ได้มีผู้นิยมลงทุนกันจัดเป็นรูปบริษัทห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบธุรกิจการขนส่งด้วยรถโดยสาร จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในรัศมีไม่เกิน300 กิโลเมตร สำหรับในกรุงเทพมหานครนั้นก็มีผู้ประกอบการถึง 28 รายได้รับสัมปทานเดินรถโดยสาร ส่วนในต่างจังหวัดทางราชการยังมิได้มีการกำหนดเส้นทางสัมปทาน และควบคุมการเดินรถนี้เองทำให้ผู้ประกอบ การทำการแข่งขันกันจนเป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ตลอดเวลานอกจากนั้นที่สำคัญ การดำเนินการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือที่เรียกว่าพวกบุคคลอันธพาล ที่คุมการเดินรถและเรียกเก็บผลประโยชน์ค่าคุ้มครองจากเจ้าของรถ หรือผู้ประกอบการทุกแห่ง ปัญหาเรื่องบุคคลเป็นภัยของสังคมหรือบุคคลอันธพาลเหล่านี้ จึงเป็นปัญหาของสังคมไทยช่วงปี 2490-2501 ในที่สุดผู้บริหารประเทศในขณะนั้น จึงทำการกวาดล้างบุคคลดังกล่าว และจับกุมข้อหาบุคคลที่เป็นภัยของสังคมจนหมดสิ้น เมื่อ พ.ศ. 2502 ปรากฎว่าอุบัติเหตุซึ่งเกิดจากรถยนต์รับ-ส่งผู้โดยสารต่างจังหวัดมีมากขึ้น เนื่องจากประชาชนนิยมซื้อรถยนต์จากผู้ขายก็สามารถซื้อได้ด้วยการผ่อนส่ง เมื่อจำนวนรถมีมากเกินความจำเป็น ก็เป็นเหตุให้มีการวิ่งแย่งรับส่งผู้โดยสารด้วยการขับรถเร็ว และขับแซงเพื่อมุ่งไปแย่งรับคนโดยสารในจุดข้างหน้าจึงก่อให้เกิดอุบัติเหตุอยู่เสมอ รัฐบาลในสมัยปฏิวัติจึงได้มอบหมายนโยบายการจัดการเดินรถ โดยให้ บขส. เป็นแกนกลางดำเนินการรวบรวมรถโดยสารของเอกชนเข้ามาร่วม จึงเป็นจุดเริ่มแรกของการมีรถร่วมพร้อมทั้ง รัฐบาลได้มอบสัมปทานแก่ บขส.เพื่อควบคุมการเดินรถในเขตสัมปทานรวม 25 จังหวัด เหตุที่ควบคุมเพิ่มขึ้นเพียง 25 จังหวัด ก็เพราะขณะนั้นอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของ บขส. และเจ้าหน้าที่ทางราชการ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบยังมีน้อย จึงได้เลือกควบคุมเฉพาะในเขตจังหวัดที่มีรถยนต์วิ่งจากกรุงเทพฯ ออกไปยังจังหวัดนั้น ๆ ก่อนคือภาคเหนือไปสุดที่จังหวัดนครสวรรค์


สีของรถ บข. ร้อยเอ็ด
สีเขียว
สีฟ้า

สีชมพู


บริการของรถโดยสาร ขส. ร้อยเอ็ด
เครื่องดื่ม


วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

สิ่งที่ประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

สิ่งที่ประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด



          ในนามของนักศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดสิ่งที่ประทับใจในมหาลัยแห่งนี้มีมากมายซึ่งตัวดิฉันจะขอยกตัวอย่างที่ตัวดิฉันชอบที่สุด คือ สระแก้วราชภูมิ   ซึ่งสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์กของมหาลัยเลยก็ว่าได้เพราะสระมีรูปเป็นวงกลมซึ่งทำให้สระดูน่าสนใจรอบๆสระนักศึกษาใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายและพบปะผู้คนซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้สระแก้วเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของนักศึกษาแห่งนี้   และที่สำคัญสระแก้วราชภูมิยังเป็นจุดศูนย์กลางที่มีเส้นทางเชื่อมไปยังตึกต่างๆของมหาลัยได้จึงง่ายต่อการไปยังตึกต่างของนักศึกษา คณาจารย์และผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนมหาลัยของเรา                                                                                                      

         สิ่งที่ประทับใจในมหาวิทยาลัยนาชภัฏร้อยเอ็ดอีกอย่างคือมหาลัยเป็นมหาลัยสีเขียวมีป่าล้อมรอบดูเป็นธรรมชาติไม่วุ่นวายดูสงบ 


          และมีระยะความห่างของแต่ละตึกทำให้ตึกของมหาลัยมีความสง่ามีจุดเด่นของตัวเองทำให้ตึกดูสวยงามน่าสนใจมากขึ้น












ขอขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด



        

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอาเซียน


1. เมียนมาร์

มหาเจดีย์ชเวดากอง

มหาเจดีย์ชเวดากอง

เจดีย์ชเวดากอง แลนด์มาร์กสำคัญของเมียนมาร์ ตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า โดดเด่นด้วยเจดีย์ใหญ่สีทองอร่าม เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมียนมาร์เลยก็ว่าได้
พุกาม

พุกาม



พุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์ เต็มไปด้วยเจดีย์ และวัดเก่าแก่ ตั้งเรียงรายละลานตา เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ อีกทั้งยังมีเทศกาลบอลลูนให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวของเมืองแบบ 360 องศา อีกด้วย


2. สปป. ลาว

วังเวียง

วังเวียง



วังเวียง เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองลาว เพราะเต็มไปด้วยหุบเขา ถ้ำ สายน้ำ และผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสธรรมชาติในรูปแบบการผจญภัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

น้ำตกตาดกวางสี หลวงพระบาง


น้ำตกกวางสี



น้ำตกตาดกวางสี น้ำตกที่สวยงามที่สุดของเมืองหลวงพระบาง เป็นน้ำตกหินปูน สูงราว 70 เมตรมีสองชั้น สภาพป่าร่มรื่น มีสะพานและเส้นทางเดินชมรอบๆน้ำตกและสามารถเลาะข้างน้ำตกไปชมน้ำตกชั้นบนสามมารถเล่นน้ำบริเวณลำธารได้

3. กัมพูชา 


อังกอร์วัด

อังกอร์วัด คือสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างในปี พ.ศ.1650 ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมัน ที่ 2 ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรคลาสสิก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ นครวัด-นครธม

ปราสาทบายน

ปราสาทบายน



ปราสาทบายน ปราสาทที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในอาณาจักรขอม สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในปี พ.ศ. 1730 ปราสาทบายน เป็นศาสนสถานของพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยาน มีรูปสลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รอบปราสาท มี ทั้งหมด 54 ยอด 216 หน้า


4. เวียดนาม


ฮาลอง เบย์

ฮาลอง เบย์



สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นอกจากจะได้ล่องเรือชมวิวทิวทัศน์อันสุดยอดแล้ว คุณจะได้พบกับกิจกรรมผจญภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปีนหน้าผา หรือพายเรือคายัค
ซาปา

เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงาม อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดสุดลูกหูลูกตา คนชอบถ่ายภาพจะต้องถูกใจแน่นอน อีกทั้งยังได้สัมผัสวิถีวิตของคนท้องถิ่นอีกด้วย

5. มาเลเซีย

ปีนัง
ปีนัง

เกาะปีนัง เป็น 1 ใน 13 รัฐของมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตก และมีจอร์จทาวน์เป็นเมืองหลวงของรัฐ ส่วนในเรื่องของการท่องเที่ยว ที่ปีนังคุณสามารถหาสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ ได้มากมาย เนื่องจากที่ปีนังนั้นถือว่ามีความหลากหลายทางด้านสถานที่ท่องเที่ยวทั้งจากแหล่งประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่สวยงาม
ซาบาห์
ซาบาห์

ซาบาห์เป็นหนึ่งในสองรัฐของมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียว ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูง และมีทรัพยากรทางทะเลที่สวยงามและสมบูรณ์มาก โดยมีโกตาคินาบาลู เป็นเมืองหลวงของรัฐ
6. สิงคโปร์

มารีนา เบย์ แซนด์



Marina Bay


มารีน่า เบย์ แซนด์ โรงแรมระดับ 5 ดาว ได้ชื่อว่าอลังการที่สุดในสิงคโปร์ จำนวนห้องพักกว่า 2500 ห้อง ในความสูง 57 ชั้น โดยมีจุดเด่นอยู่บนชั้นดาดฟ้า Skypark ที่มีสระว่ายน้ำไร้ขอบ ยาวถึง 150 เมตร และใกล้ๆ กันมี ไนท์คลับ สุดฮิป ไว้ให้บริการด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สนุกพร้อมกับชมวิวทั้งเมืองในยามค่ำคืน

ชางงี บีช ปาร์ค


ชางงี บีช



ชางงี บีช ปาร์ค คือสวนสาธารณะริมชายฝั่งทะเลที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนของครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นปิกนิกและสนุกกับการตกปลา ว่ายน้ำ ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน เป็นต้น เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบหากเทียบกับแหล่งอื่น ๆ ของสิงคโปร์


7. บรูไน
มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน


มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน



มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน มัสยิดอันเก่าแก่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน มัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนินการสร้างโดยสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟัดดินที่ พระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบัน โดยสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1958 พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปนิกสมัยใหม่ของบรูไน มัสยิดนี้มีความวิจิตรงดงามจนได้ชื่อว่า “มินิ ทัชมาฮาล”



8. ฟิลิปปินส์ 
ช็อคโกแลตฮิลส์


Chocolate Hills

ช็อคโกแลตฮิลส์ ตั้งอยู่บนเกาะโบฮอล ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา คือเนินเขาลูกย่อม ๆ ทรงกรวยคว่ำ ที่มีลักษณะค่อนข้างสมมาตร เรียงกันเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีจำนวน 1,260 ถึง 1,776 ลูก ความสูงโดยเฉลี่ยของเนินเหล่านี้อยู่ที่ 30-50 เมตร เป็นภาพที่แสนมหัศจรรย์
เกาะโบราไกย์


เกาะโบราไกย์

โบราไกย์ คือเกาะหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ อยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางทิศใต้ประมาณ 315 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่ออย่างมาก โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2012 เกาะแห่งนี้ได้รับการโหวตจากนิตยสารทราเวล + เลเชอร์ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกมาแล้ว  นอกจากนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางที่สงบเงียบและเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรีที่ยอดเยี่ยม อีกด้วย


9. อินโดนีเซีย

วิหารอูลันดานูบราตัน บาหลี
วิหารอูลันดานูบราตัน


วิหารอูลันดานูบราตัน ตั้งอยู่บริเวณกลางน้ำริมทะเลสาบบราตัน มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟสูงทะมึน บางช่วงถูกคั่นด้วยปุยเมฆสีขาว วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีทางศาสนาพุทธและฮินดู รวมทั้งอุทิศแด่เทวี ดานู เทพยแห่งสายน้ำ ไม่สามารถเดินข้ามไปยังวัดได้ มีลักษณะเด่นตรงศาลาซึ่งมีหลังคาทรงสูงที่รียกว่าเมรุ มุงด้วยฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น สวยงามมากมักปรากฏอยู่ในภาพถ่ายโฆษณาการท่องเที่ยวของบาหลีเสมอ
ภูเขาไฟโบรโม่
ภูเขาไฟโบรโม่



ภูเขาไฟโบรโม่ ได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีบนมงกุฎของชวาตะวันออก อีกทั้งที่นี่ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยภูเขาไฟโบรโม่คือหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจาภูเขาไฟทั้งหมดประมาณ 400 ลูกของอินโดนีเซีย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,392 เมตร ซึ่งเคยเกิดระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้มันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 1 ใน 10 แห่งอินโดนีเซียที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดอีกด้วย



10.ประเทศไทย
เกาะพีพี

เกาะพีพี
หมู่เกาะพีพี  เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า "ปูเลาปิอาปิ" คำว่า "ปูเลา" แปลว่า เกาะ คำว่า "ปิอาปิ" แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า "ต้นปีปี" ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น "พีพี" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทร นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการัง ดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีที่มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ ยังมีเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ กระบี่

เกาะพีพี

เกาะพีพีดอน" มีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของเกาะคือ เวิ้งอ่าวคู่ที่มีความสวยงามติดอันดับโลกของ อ่าวต้นไทร และ อ่าวโละดาลัม ทั้งนี้ อ่าวต้นไทรเป็นที่ตั้งของท่าเรือเกาะพีพี และมีสถานที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จากอ่าวต้นไทรสามารถเดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวคู่ ได้ อย่างไรก็ตาม เกาะพีพีดอน ยังมีหาดทรายและอ่าวที่สวยงามกระจายอยู่รอบเกาะ บางแห่งมีที่พักบริการ เช่น หาดแหลมหิน หาดยาว อ่าวโละบาเกา 













ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก http://travel.mthai.com/world-travel/117663.html



http://travel.kapook.com/view332.html